โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV) คือ โรคจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ (AIDS, Acquired Immunol Deficiency Syndrome หรือ Acquired Immune Deficiency Syndrome) ซึ่งทั่วโลกเริ่มรู้จักโรคเอดส์ ประมาณปี ค. ศ. 1981 ทั้งนี้การติดเชื้อไวรัสเอชไอวีพบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่ทารกในครรภ์ไปจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งในปลายปี ค. 2009 ประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อ เอชไอวี ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 33. 3 ล้านคน และเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวเนื่องกับการติดเชื้อนี้สูงถึง ประมาณ 1. 8 ล้านคน โดยโรคจากติดเชื้อเอชไอวี พบได้ทั่วโลก เป็นโรคระบาด และเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งพบได้มากที่สุดในประเทศแถบอัฟริกัน เชื้อไวรัสเอชไอวีคืออะไร?
ปัญหาโรคเอดส์ เอชไอวี เป็นปัญหา ที่ทั่วโลกไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเป็นโรคที่ ยังไม่มียารักษา ให้สามารถหายขาดได้ มีเพียงแต่ ยาที่ช่วยยับยั้ง การเพิ่มจำนวน ของเชื้อไวรัส หรือที่รู้จักกัน ในชื่อยาต้านไวรัส ซึ่งสามารถช่วย ให้ผู้ติดเชื้อ สามารถดำรงชีวิตได้ดังปกติ มีอายุขัยตามปกติ ไม่เข้าสู่สภาวะเอดส์ เอชไอวี (HIV) ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นชื่อไวรัส ของโรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือที่รู้จักกันว่า "โรคเอดส์" ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่ใช่ผู้ป่วยโรคเอดส์เสมอไป จากสถิติที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต จากการป่วยด้วยโรคเอดส์ แล้วกว่า 25 ล้านคน และในปี พ. ศ. 2559 มีผู้เสีย ชีวิตด้วยโรคเอดส์ ไปแล้วกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก สถานการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับ ปัญหาเอชไอวี และ ปัญหาเอดส์ในไทย จากการศึกษา เฉพาะในกรุงเทพมหานคร ในปี พ. 2562 พบผู้ติดเชื้อเอชไอวี จำนวน 77, 558 คน นับเป็นผู้ป่วยใหม่ จำนวน 1, 190 คน และภายในผู้ป่วยใหม่นี้ มีเยาวชนที่ มีอายุน้อยกว่า 25 ปี จำนวน 628 คน นอกจากนี้พบผู้เสียชีวิตไปแล้ว จำนวน 1, 877 คน สำหรับทั่วประเทศพบว่า มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพิ่มขึ้น ประมาณ 5, 500 คน/ปี เดิมมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ 467, 600 คน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบการรักษา แต่ยังมีผู้ไม่ทราบว่าตนเอง ติดเชื้อเอชไอวี หรือรู้ แต่ไม่ยอมรักษา ที่เราไม่ทราบอีกจำนวนมาก ในไทย ปัญหาโรคเอดส์ ที่เกิดขึ้น เนื่องจาก HIV สามารถติดต่อได้ 3 ทางหลักๆ คือ 1.
การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกัน: ปัญหาโรคเอดส์ หรือ การติดเชื้อเอชไอวี ที่เกิดจากการไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย มีความเสี่ยงน้อยกับ ผู้ที่มีคู่นอนเพียงคนเดียว แต่จะมีความเสี่ยงมากๆ ในผู้ที่มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ปัญหาการไม่ป้องกันนี้ อาจจะเป็นในเรื่องของ ความพึงพอใจส่วนบุคคล ที่จะสวมใส่หรือไม่ก็ได้ หรืออาจจะมีความเชื่ออะไรก็ตาม ทั้งนี้ ขอแนะนำให้สวมใส่ เพราะช่วยในเรื่องปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากเอชไอวีด้วย 2. การใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้ที่ตัดเล็บร่วมกัน และอื่นๆ 3. การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ปัญหาที่พบได้บ่อยๆ คือ ไม่รู้ตัว มีการตั้งครรภ์ ไม่รีบมาฝากครรภ์ ไม่พาสามีมาตรวจ ทำให้ไม่ทราบว่า มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออยู่ การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี 1. ป้องกันทุกครั้ง ที่จะมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเพศอะไร 2. ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ 3. ไม่มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า 4. หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น 5. หากอยากมีบุตร ก็วางแผนการตั้งครรภ์ ร่วมกับคุณหมอ ตรวจหาเชื้อทั้งสามีและภรรยา 6.
เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อได้ทาง เลือด อสุจิ สารคัดหลั่ง ใน ช่องคลอด หรือ น้ำนม ซึ่งภายในของเหลวที่ร่างกายสร้างขึ้นนี้ เชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ได้ทั้งในสภาพอิสระในตัว และอยู่ใน เซลล์เม็ดเลือดขาว ที่ติดเชื้อ สาเหตุใหญ่ของการแพร่กระจายเชื้อ คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อน การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านทางการให้น้ำนม เลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเอชไอวีจากการบริจาคให้ ธนาคารเลือด ในขณะนี้การติดเชื้อเอชไอวี ใน มนุษย์ จัดได้ว่าเป็นโรคระบาดร้ายแรง ซึ่งเมื่อเดือน มกราคม ค. ศ. 2006 องค์กรความร่วมมือเกี่ยวกับ HIV/AIDS (UNAIDS) และ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตจาก เอดส์ มากกว่า 25 ล้านคนจากการตรวจพบในวันที่ 1 ธันวาคม ค. 1981 ทำให้เชื้อ HIV เป็นหนึ่งในการแพร่ระบาดที่เป็นสาเหตุการตายของมนุษย์ ที่ร้ายแรงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์อีกเหตุการณ์หนึ่ง นับจากภายหลัง กาฬมรณะ ที่คร่าชีวิตประชากรยุโรปในสมัยกลางไปถึง 1 ใน 3 เชื้อ HIV ยังเป็นสาเหตุของการตายของมนุษย์ที่มีความเสียหายมากที่สุดในปี ค. 2005 มีการคาดการณ์ว่า มีผู้ติดเชื้อประมาณ 2. 4 และ 3.
ทำความสะอาดอวัยวะเพศเป็นประจำทุกวัน ใช้เพียงน้ำเปล่าธรรมดาๆ ล้างทำความสะอาดก็ได้ หรืออาจใช้น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นโดยเฉพาะก็ได้ โดยทำความสะอาดเพียง 1 ครั้งต่อ 1 วัน และทำความสะอาดแค่ภายนอก บริเวณปากช่องคลอด ไม่ต้องล้วงลึกเข้าไปในช่องคลอด เพราะอาจทำให้สูญเสียแบคทีเรียดีๆ ที่เอาไว้ต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอื่นๆ ภายนอกได้ รวมถึงเสี่ยงต่อการอักเสบได้เช่นกัน 2. ขณะมีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยเป็นประจำ อย่าให้ปากช่องคลอดอับชื้นอยู่ตลอดเวลา ความบ่อยของการเปลี่ยนผ้าอนามัยขึ้นอยู่กับปริมาณประจำเดือนที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ แต่พยายามอย่าให้อวัยวะเพศอับชื้นนานๆ 3. ทำความสะอาดอวัยวะเพศทุกครั้งหลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ รวมถึงหลังมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งด้วย 4. หากพบว่ามีก้อนฝีหนอง อย่าพยายามบีบหนอง ออกมาด้วยตัวเอง เพราะเสี่ยงติดเชื้อจากมือ หรือเล็บที่เราใช้บีบ รวมถึงเสี่ยงติดเชื้อเมื่อปากแผลเปิด แล้วเราทำความสะอาดแผลไม่ดีพอ (เพราะเราอาจกลัวเจ็บ กลัวแสบจนไม่สามารถทำความสะอาดไปถึงส่วนลึกของแผลได้) หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนที่สุด ไม่ต้องเขินอาย ยิ่งพบแพทย์เร็วเท่าไร ยิ่งรักษาหายง่าย และเจ็บปวดน้อยมากเท่านั้น ขอบคุณข้อมูลจาก: Sanook การรักษาความสะอาดช่องคลอด ช่องคลอดอักเสบ ฝีในอวัยวะเพศ หนองที่อวัยวะเพศ อวัยวะเพศอักเสบ