16 กรัม ( ทองแท่งหนัก 15. 244 กรัม) แหวนทอง 2 สลึง หนัก 7. 58 กรัม แหวนทอง 1 สลึง หนัก 3. 79 กรัม แหวนทอง ½ สลึง หนัก 1. 895 กรัม จะเห็นได้ว่า ทอง 1 กรัม หนักเทียบเท่าครึ่งของทอง ½ สลึงเลย ( ครึ่งของครึ่งสลึง) ส่วนทอง 0. 6 กรัม หากเทียบน้ำหนักทอง 1 กรัม คือครึ่งของครึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือได้ว่ามีน้ำหนักที่เบาและบางมาก ๆ ส่วนใหญ่จะทำเครื่องประดับทองที่ใช้เนื้อทองน้อยได้เพียงแค่ชิ้นเล็ก ๆ เช่น แหวนทอง, จี้ทอง เท่านั้น และด้วยความที่น้ำหนักเบาและบางก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการชำรุด บุบ หักได้ง่ายเช่นกัน ส่วนหากต้องการสะสมแหวนทอง 0. 6 กรัมให้ได้น้ำหนักทอง 1 บาท อาจต้องเก็บสะสมถึง 26 ชิ้น ( 0. 6 กรัม x 26 ชิ้น = 15. 6 กรัม) เลยทีเดียว ส่วนราคาทอง 0. 6 กรัม นั้นร้านทองจะคิดราคาขายออกเหมือนราคาทองน้ำหนักอื่น ๆ เช่น สมมุติ ราคาขายออกทองรูปพรรณ บาทละ 19, 800 บาท ราคาแหวนทอง 0. 6 กรัม ( 19, 800 / 15. 16) x 0. 6 = 784 บาท ( ราคายังไม่รวมค่ากำเหน็จ) สรุปได้ว่า ทอง 0. 6 กรัม เป็นทองคำที่มีน้ำหนักน้อยที่สุด มีความบางและเบามาก ผลิตทองรูปพรรณได้เพียงแค่ชิ้นเล็ก ๆ อย่าง แหวนทอง, จี้ทอง, ตุ้มหู เท่านั้น และมีโอกาสสูงที่จะชำุด บุบ หักได้ง่ายกว่าทองทั่วไป แต่ก็สามารถขายได้, จำนำได้
55 08:33:36 ที่ต้องถอดโคม คือ ถอดที่ครอบสีขาวเลยใช่ไหมคะ By: bmc Since: 5 ส. 55 14:32:44 ถ้าหมุนไม่ออกเพราะติดโคมสะท้อนแสง ต้องถอดโคมสะท้อนแสงออกมาก่อน (ตัวเงินๆภายในกรอบสีขาวน่ะ) อันนี้เป็นดาวไลท์แบบหลอดไฟเข้าด้านข้าง สำหรับบ้านที่มีพื้นที่เหนือฝ้าไม่มาก เพราะถ้าใช้ดาวไลท์แบบปกติ ขั้วหลอดไฟจะชนเพดาน By: oatcpe Since: 5 ส. 55 15:53:11 หมุนออก เลยครับเหมือนแบบที่ตั้งดิ่งกับพื้น By: เม็กนีโต้ Since: 5 ส. 55 23:31:01 ผมมีโคมแบบนี้ตัวนึงในครัว โคมแบบนี้จริงๆมันก็แค่หมุนหลอดออกได้เลย ผมใช้อยู่โดยเลือกหลอดไฟแบบสั้นๆ ที่มันเป็นขดๆเกลียวๆ ไม่ยาวแบบในภาพหัวกระทู้ ส่วนโคมสะท้อนแสงผมคิดว่ามันจะเอาออกไม่ได้เลย ถ้าไม่เอาหลอดออกก่อน (ดูจากภาพจะเห็นว่าโคมสะท้อนแสงมันเจาะรูสอดหลอดไฟผ่านตัวมัน) By: Ph Since: 6 ส. 55 01:08:20 Leave a Reply You must be logged in to post a comment.
1) ใช้มัลติมิเตอร์ วัดค่าความต้านทาน โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้ 2. 1) จับคันโยกดันไปตำแหน่ง ON โดยใช้ ย่านในการวัด Rx1 หรือ RX10 ตรวจสอบที่ขั้ว 1-2 3-4 5-6 ถ้าเซอร์กิตเบรกเกอร์ ปกติ เข็มที่ใช้วัดค่าความต้านทานจะกระดิก หากเข็มไม่กระดิก แสดงว่าหน้าสัมผัสไม่สนิท การใช้ มัลติมิเตอร์วัดค่าความต้านทานตรวจสอบหน้าสัมผัส 2. 2) ทดสอบความเป็นฉนวน ดันคันโยกไปที่ตำแหน่ง ON แล้วใช้มัลติมิเตอร์ วัดตำแน่ง 1-3, 3-5, 2-4, 4-6 โดยมีหลัการสังเกตความปกติเช่นเดียวกันกับการตวรจสอบหน้าสัมผัส การใช้มัลติมิเตอร์ตรวจสอบความเป็นฉนวน อ้างอิง
1 อุณหภูมิ ทั้งสภาวะแวดล้อมในการใช้งาน และที่เกิดจากการใช้งานในสายไฟฟ้าเอง หากเดินสายไฟผ่าน จุดหรือบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง ควรเลือกใช้สายให้เหมาะสม ภาพสายไฟทนความร้อน 1. 2 ฉนวนที่ห่อหุ้มบริเวณรอยต่อไม่ดี เลือกใช้ฉนวนที่เหมาะสม ได้มาตรฐานเช่นบริเวณที่มีความร้อน อาจใช้ เทปพันสายไฟ ที่สามารถทนความร้อนสูง ภาพเทปพันสายไฟทนความร้อน 1. 3 กระแสไหลผ่านมากเกินไป ก. สายขนาดเล็กเกินไป ข. ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม แต่ขนาดสายเท่าเดิม ค. ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไม่เหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบไฟฟ้าของเจ้าของอาคารสถานที่ 1. 4 สายไฟฟ้าถูกกดทับ ความเสียหายของฉนวน ที่เกิดจากการกดทับย่อมทำให้ลดอายุการใช้งานของสายไฟลดลง 1. 5 การสั่นสะเทือน 1. 6 รอยต่อหลวม 1. 7 ขาดการตรวจสอบและดูแลรักษา 2) การตรวจสอบความเป็นฉนวนของสายไฟฟ้า 2. 1 เมื่อเป็นวงจรควบคุมการเปิด-ปิด หลอดไฟฟ้า ให้ใช้เมกเกอร์ทดสอบ รูปที่ การทดสอบฉนวนเมื่อเดิน สายไฟฟ้าด้วยเข็มขัดรัดสาย 2. 1. 1 ค่าความต้านทานเท่ากับศูนย์หรือน้อยกว่า 0. 5 เมกะโอร์ม ฉนวนเสื่อมคุณภาพ 2. 2ค่าความต้านทานมากกว่า 0. 5 เมกะโอห์ม ฉนวนยังไม่เสื่อมคุณภาพใส่หลอดเข้ากับจุด 1, 2จากนั้นตรวจสอบฉนวนระหว่างสายไฟฟ้ากับดิน ถ้าค่าความต้านทาน ≥0.
5 เมกโอห์ม ฉนวนเสื่อมคุณภาพ ควรทำการเปลี่ยนสายไฟ 2. 2 วิธีการทดสอบฉนวนของสายไฟฟ้าเมื่อเดินสายไฟฟ้าในท่อร้อยสาย ทดสอบฉนวนสายไฟ เมื่อเดินสายไฟฟ้าในท่อร้อยสาย 2. 2. 1 ใช้เมกเกอร์หรือ insulation tester meter ใน multi meter มีฟังก์ชันนี้อยู่ ทดสอบที่ขั้วใดๆ 2. 2 ทดสอบระหว่างสายไฟฟ้ากับดิน Insulate Testing Meter 3. การบำรุงรักษาฉนวนของสายไฟฟ้า – หมั่นตรวจสอบและทำความสะอาด – ตรวจสอบกระแส – ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันวงจร ขนาดที่เหมาะสม – อย่าให้สายไฟฟ้าถูกแสงแดด – ระวังอย่าให้สายไฟฟ้าถูกกดทับด้วยสิ่ง การตรวจสอบเซอร์กิตเบรกเกอร์ จุดที่ควรทำการตรวจเช็ค ใน เซอร์กิตเบรกเกอร์ คือส่วนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ คันโยกจึงเป็นจุดตรวจสอบอันดับแรก ๆ ทางกลของ เซอร์กิตเบรกเกอร์ นอกจากนี้ยังมี การตรวจสอบหน้า Contact และความเป็นฉนวนระหว่างขั้ว สามารถแบ่ง ได้ดังนี้ 1) การตรวจสอบเชิงกล 1. 1) จับคันโยกดันไปตำแหน่ง NO หาก ไม่ล็อคแสดงว่า เซอร์กิตเบรกเกอร์ชำรุด 1. 2) ตรวจสอบ ปุ่ม Reset โดยใช้อุปกรณ์ที่เป็นแท่งกดโดยที่สภาวะปกติ เมื่อทำการกดปุ่ม Reset แล้วจะทำคันโยกเด้งกลับหาก ไม่เด้งแสดงว่ามีหารชำรุด 2) การตรวจสอบหน้าสัมผัส และความเป็นฉนวน 2.